พุยพุย

วันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2560


บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 18 
วันศุกร์ ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2560 เวลา 08.30-12.30 น.



สอบปลายภาคค่ะ


บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 17
วันศุกร์ ที่ 28 เมษายน พ.ศ.2560 เวลา 08.30-12.30 น.



โปรแกรมการศึกษาเฉพาะบุคคล 

(Individualized Education Program)


แผน IEP
•แผนการศึกษาที่ร่างขึ้น
•เพื่อให้เด็กพิเศษแต่ละคนได้รับการสอน และการช่วยเหลือฟื้นฟูให้เหมาะสมกับความต้องการและความสามารถของเขา
•ด้วยการจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของเด็ก
•โดยระบุเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดการใช้แผนและวิธีการวัดประเมินผลเด็ก
การเขียนแผน IEP
•คัดแยกเด็กพิเศษ
•ครูต้องรู้ว่าเด็กมีปัญหาอะไร
•ประเมินพัฒนาการเด็กเป็นระยะ จะทำให้ทราบว่าจะต้องเริ่มช่วยเหลือเด็กจากจุดไหน ในทักษะใด
•เด็กสามารถทำอะไรได้ / เด็กไม่สามารถทำอะไรได้
•แล้วจึงเริ่มเขียนแผน IEP

IEP ประกอบด้วย
•ข้อมูลส่วนตัวของเด็ก
•ระบุว่าเด็กมีความจำเป็นต้องได้รับบริการพิเศษอะไรบ้าง
•การระบุความสามารถของเด็กในขณะปัจจุบัน
•เป้าหมายระยะยาวประจำปี / ระยะสั้น
•ระบุวัน เดือน ปี ที่เริ่มทำการสอน และคาดคะเนการสิ้นสุดของแผน
•วิธีการประเมินผล

ประโยชน์ต่อเด็ก
•ได้เรียนรู้ตามความสามารถของตน
•ได้มีโอกาสพัฒนาตามศักยภาพของตน
•ได้รับการศึกษาและฟื้นฟูอย่างต่อเนื่องและเหมาะสม
•ถ้าเด็กเข้าเรียนในโรงเรียนจะไม่ถูกจัดเข้าชั้นเรียนเฉยๆ
ประโยชน์ต่อครู
•เป็นแนวทางการจัดการเรียนการสอนที่ตรงกับความสามารถและความต้องการของเด็ก
•เป็นแนวทางในการเลือกสื่อการสอนและวิธีการสอนให้เหมาะกับเด็ก
•ปรับเปลี่ยนได้เมื่อความต้องการเปลี่ยนแปลงไป
•เป็นแนวทางในการประเมินผลการเรียนและการเขียนรายงานพัฒนาการความก้าวหน้าของเด็ก
•ตรวจสอบและประเมินได้เป็นระยะ
ประโยชน์ต่อผู้ปกครอง
•ได้มีส่วนร่วมในการจัดทำแผนการเรียนรายบุคคล เพื่อให้เด็กได้พัฒนาความสามารถได้สูงสุดตามศักยภาพ
•ทราบร่วมกับครูว่าจะฝึกลูกของตนอย่างไร
•เกิดความร่วมมือในการพัฒนาเด็ก มีการติดต่อสื่อสารกันอย่างต่อเนื่อง และใกล้ชิดระหว่างบ้านกับโรงเรียน

ขั้นตอนการจัดทำแผนการศึกษารายบุคคล
1. การรวบรวมข้อมูล
•รายงานทางการแพทย์
•รายงานการประเมินด้านต่างๆ
•บันทึกจากผู้ปกครอง ครู และผู้ที่เกี่ยวข้อง
2. การจัดทำแผน
•ประชุมผู้ที่เกี่ยวข้อง
•กำหนดจุดมุ่งหมายระยะยาวและระยะสั้น
•กำหนดโปรแกรมและกิจกรรม
•จะต้องได้รับการรับรองแผนการศึกษาเฉพาะบุคคลจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
การกำหนดจุดมุ่งหมาย
•ระยะยาว
•ระยะสั้น

จุดมุ่งหมายระยะยาว
•กำหนดให้ชัดเจน แม้จะกว้าง
–น้องนุ่นช่วยเหลือตนเองได้
–น้องดาวร่วมมือกับผู้อื่นได้ดีขึ้น
–น้องริวเข้ากับเพื่อนคนอื่นๆได้

จุดมุ่งหมายระยะสั้น
•ตั้งให้อยู่ภายใต้จุดมุ่งหมายหลัก
•เป็นพฤติกรรมที่เด็กสามารถทำได้ในระยะ 2-3 วัน หรือ 2-3 สัปดาห์
•จะสอนใคร
•พฤติกรรมอะไร
•เมื่อไหร่ ที่ไหน (ที่พฤติกรรมนั้นจะเกิด)
•พฤติกรรมนั้นต้องดีขนาดไหน
•ใคร
•อะไร
•เมื่อไหร่ / ที่ไหน ดีขนาดไหน

3. การใช้แผน
•เมื่อแผนเสร็จสมบูรณ์ ครูจะนำไปใช้โดยจะใช้แผนระยะสั้น
•นำมาทำเป็นจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม
•แยกย่อยขั้นตอนการสอนให้เหมาะกับเด็ก
•จัดเตรียมสื่อและจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
§ต้องมีการสังเกตเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเด็กและความสามารถ โดยคำนึงถึง
1.ขั้นตอนพัฒนาการของเด็กปกติ
2.ตัวชี้วัดพื้นฐานที่เกี่ยวกับปัญหาของพัฒนาการเด็ก
3.อิทธิพลของสิ่งแวดล้อมของเด็กและผู้ใหญ่ที่มีผลต่อการแสดงออกของเด็ก

4. การประเมินผล
•โดยทั่วไปจะประเมินภาคเรียนละครั้ง หรือย่อยกว่านั้น
•ควรมีการกำหนดวิธีการประเมิน และเกณฑ์วัดผล
§

** การประเมินในแต่ละทักษะหรือแต่ละกิจกรรม

อาจใช้วิธีวัดและกำหนดเกณฑ์แตกต่างกัน** 




การประยุกต์ใช้
- นำความรู้ที่ได้ไปปรับและประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน

ประเมินอาจารย์
- อาจารย์น่ารัก ใจดี สอนเข้าใจง่าย อธิบายเนื้อหาได้อย่างละเอียดและอาจารย์คอยให้คำแนะนำอยู่เสมอ

ประเมินตนเอง
- ได้ความรู้เกี่ยวกับกระบวนการทำ IIP และการนำความรู้และทักษะด้านอื่นๆไปใช้

ประเมินเพื่อน
- เพื่อนๆตั้งใจเรียนและตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ค่ะ




บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 16
วันศุกร์ ที่ 21 เมษายน พ.ศ.2560 เวลา 08.30-12.30 น.



ไปเข้าค่ายอบรมผู้กำกับลูกเสือค่ะ



บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 15
วันศุกร์ ที่ 14 เมษายน พ.ศ.2560 เวลา 08.30-12.30 น.


วันหยุดสงกรานต์ค่ะ


บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 14
วันศุกร์ ที่ 7 เมษายน พ.ศ.2560 เวลา 08.30-12.30 น.


ไม่มีการเรียนการสอนค่ะ เนื่องจากอาจารย์ไปราชการที่จังหวัดอ่างทอง


บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 13
วันศุกร์ ที่ 31 มีนาคม พ.ศ.2560 เวลา 08.30-12.30 น.



ไม่มีการเรียนการสอนค่ะ



บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 12
วันศุกร์ ที่ 24 มีนาคม พ.ศ.2560 เวลา 08.30-12.30 น.




การส่งเสริมพัฒนาการและการปรับพฤติกรรม
เด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ
•เพื่อให้เด็กสามารถช่วยเหลือตนเองได้ในชีวิตประจำวัน
•ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้ใกล้เคียงกับคนปกติมากที่สุด
•เน้นการดูแลแบบองค์รวม (Holistic Approach)

1. การฟื้นฟูสมรรถภาพทางการศึกษา
•เพิ่มทักษะพื้นฐานด้านสังคม การสื่อสาร และทักษะทางความคิด
•เกิดผลดีในระยะยาว
•เน้นการเตรียมความพร้อมเพื่อให้เด็กสามารถใช้ในชีวิตประจำวันจริงๆแทนการฝึกแต่เพียงทักษะทางวิชาการ
•แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (Individualized Education Program; IEP)
•โรงเรียนการศึกษาพิเศษเฉพาะทาง โรงเรียนเรียนร่วม ห้องเรียนคู่ขนาน

2.การฟื้นฟูสมรรถภาพทางสังคม
•การฝึกฝนทักษะในชีวิตประจำวัน(Activity of Daily Living Training)
•การฝึกฝนทักษะสังคม (Social Skill Training)
•การสอนเรื่องราวทางสังคม (Social Story)

3. การบำบัดทางเลือก
•การสื่อความหมายทดแทน (AAC)
•ศิลปกรรมบำบัด (Art Therapy)
•ดนตรีบำบัด (Music Therapy)
•การฝังเข็ม (Acupuncture)
•การบำบัดด้วยสัตว์ (Animal Therapy)

การสื่อความหมายทดแทน (Augmentative and Alternative Communication ; AAC)
•การรับรู้ผ่านการมอง (Visual Strategies)
•โปรแกรมแลกเปลี่ยนภาพเพื่อการสื่อสาร (Picture Exchange Communication System; PECS)
•เครื่องโอภา (Communication Devices)
•โปรแกรมปราศรัย
Picture Exchange
Communication System
(PECS)






บทบาทของครู
•ตำแหน่งการนั่งของเด็กไม่ควรให้นั่งติดหน้าต่างหรือประตู
•ให้เด็กนั่งแถวหน้าสุดใกล้โต๊ะครู
•จัดให้เด็กนั่งติดกับนักเรียนที่ไม่ค่อยเล่น ไม่ค่อยคุยในระหว่างเรียน
•ให้เด็กมีกิจกรรม เปลี่ยนอิริยาบถบ้าง

การส่งเสริมทักษะต่างๆของเด็กพิเศษ
1. ทักษะทางสังคม
•เด็กพิเศษที่ขาดทักษะทางสังคม ไม่ได้มีสาเหตุมาจากการพ่อแม่
•การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีไม่ได้เป็นเครื่องรับประกันว่าเด็กจะมีพัฒนาการต่างๆอย่างมีความสุข
กิจกรรมการเล่น
•การเล่นเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อการเรียนรู้ทักษะทางสังคม
•เด็กจะสนใจกันเองโดยอาศัยการเล่นเป็นสื่อ
•ในช่วงแรกๆ เด็กจะไม่มองเด็กคนอื่นเป็นเพื่อน แต่เป็นอะไรบางอย่างที่น่าสำรวจ สัมผัส ผลัก ดึง
ยุทธศาสตร์การสอน
•เด็กพิเศษหลายๆคนไม่รู้วิธีเล่น ไม่รู้ว่าจะเล่นอย่างไร
•ครูเริ่มต้นจากการสังเกตเด็กแต่ละคนอย่างเป็นระบบ
•จะบอกได้ว่าเด็กมีทักษะการเล่นแบบใดบ้าง
•ครูจดบันทึก
•ทำแผน IEP
การกระตุ้นการเลียนแบบและการเอาอย่าง
•วางแผนกิจกรรมการเล่นไว้หลายๆอย่าง
•คำนึงถึงเด็กทุกๆคน
•ให้เด็กเล่นเป็นกลุ่มเล็กๆ 2-4 คน
•เด็กปกติทำหน้าที่เหมือน “ครู” ให้เด็กพิเศษ
ครูปฏิบัติอย่างไรขณะเด็กเล่น
•อยู่ใกล้ๆ และเฝ้ามองอย่างสนใจ
•ยิ้มและพยักหน้าให้ ถ้าเด็กหันมาหาครู
•ไม่ชมเชยหรือสนใจเด็กมากเกินไป
•เอาวัสดุอุปกรณ์มาเพิ่ม เพื่อยืดเวลาการเล่น
•ให้ความคิดเห็นที่เป็นแรงเสริม
การให้แรงเสริมทางสังคมในบริบทที่เด็กเล่น
•ครูพูดชักชวนให้เด็กร่วมเล่นกับเพื่อน
•ทำโดย “การพูดนำของครู”
ช่วยเด็กทุกคนให้รู้กฎเกณฑ์
•ไม่ง่ายสำหรับเด็กพิเศษ
•การให้โอกาสเด็ก
•เด็กพิเศษต้องเรียนรู้สิทธิต่างๆเหมือนเพื่อนในห้อง
•ครูต้องไม่ใช้ความบกพร่องของเด็กพิเศษเป็นเครื่องต่อรอง

2. ทักษะภาษา
การวัดความสามารถทางภาษา
•เข้าใจสิ่งที่ผู้อื่นพูดไหม
•ตอบสนองเมื่อมีคนพูดด้วยไหม
•ถามหาสิ่งต่างๆไหม
•บอกเล่าเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นไหม
•ใช้คำศัพท์ของตัวเองกับเด็กคนอื่นไหม
การออกเสียงผิด / พูดไม่ชัด
•การพูดตกหล่น
•การใช้เสียงหนึ่งแทนอีกเสียง
•ติดอ่าง
การปฏิบัติของครูและผู้ใหญ่
•ไม่สนใจการพูดซ้ำหรือการออกเสียงไม่ชัด
•ห้ามบอกเด็กว่า “พูดช้าๆ” “ตามสบาย” “คิดก่อนพูด”
•อย่าขัดจังหวะขณะเด็กพูด
•อย่าเปลี่ยนการใช้มือข้างที่ถนัดของเด็ก
•ไม่เปรียบเทียบการพูดของเด็กกับเด็กคนอื่น
•เด็กที่พูดไม่ชัดอาจเกี่ยวข้องกับการได้ยิน
ทักษะพื้นฐานทางภาษา
•ทักษะการรับรู้ภาษา
•การแสดงออกทางภาษา
•การสื่อความหมายโดยไม่ใช้คำพูด
พฤติกรรมตอบสนองการแสดงออกทางภาษา เด็กตอบสนองต่อสิ่งเหล่านี้หรือไม่

ใช่

ไม่

บางครั้ง


- เสียงของครูโดยการหันมามอง

- ต่อคำถาม “จะเอาอะไร” ด้วยการชี้

- ต่อประโยค “ช่วยเอาให้ที”

- “หา…ให้หน่อย” เมื่อครูไม่มีท่าประกอบ

- “จะเอานี่ใช่ไหม” โดยการพยักหน้า

- กับคำพูด

- “หนูอยากได้อะไร” ด้วยการพูด

- “เล่าให้ครูฟังซิ” โดยพูดเป็นประโยค

- “ใช้ทำอะไร” โดยตอบเป็นวลี หรือประโยค

ความรับผิดชอบของครูปฐมวัย
•การรับรู้ภาษามาก่อนการแสดงออกทางภาษา
•ภาษาที่ไม่ใช่คำพูดมาก่อนภาษาพูด
•ให้เวลาเด็กได้พูด
•คอยให้เด็กตอบ (ชี้แนะหากจำเป็น)
•เป็นผู้ฟังที่ดีและโตต้อบอย่างฉับไว (ครูไม่พูดมากเกินไป)
•เด็กไม่ได้เรียนรู้ภาษาจากการฟังเพียงอย่างเดียว

3. ทักษะการช่วยเหลือตนเอง
เรียนรู้การดำรงชีวิตโดยอิสระให้มากที่สุด
การกินอยู่
การเข้าห้องน้ำ
การแต่งตัว
กิจวัตรต่างๆในชีวิตประจำวัน

การสร้างความอิสระ
•เด็กอยากช่วยเหลือตนเอง
•อยากทำงานตามความสามารถ
•เด็กเลียนแบบการช่วยเหลือตนเองจากเพื่อน เด็กที่โตกว่า และผู้ใหญ่
ลำดับขั้นในการช่วยเหลือตนเอง
•แบ่งทักษะการช่วยเหลือตนเองออกเป็นขั้นย่อยๆ
•เรียงลำดับตามขั้นตอน

สรุป
•ครูต้องพยายามให้เด็กทำสิ่งต่างๆด้วยตนเอง
•ย่อยงานแต่ละอย่างเป็นขั้นๆ
•ความสำเร็จขั้นเล็กๆนำไปสู่ความสำเร็จทั้งมวล
•ช่วยให้เด็กมีความมั่นใจในตนเอง
•เด็กพึ่งตนเองได้ รู้สึกเป็นอิสระ

การเลียนแบบ
การทำตามคำสั่ง คำแนะนำ
•เด็กได้ยินสิ่งที่ครูพูดชัดหรือไม่
•เด็กเข้าใจคำศัพท์ที่ครูใช้หรือไม่
•คำสั่งยุ่งยากซับซ้อนไปหรือไม่

ความจำ
•จากการสนทนา
•เมื่อเช้าหนูทานอะไร
•แกงจืดที่เรากินใส่อะไรบ้าง
•จำตัวละครในนิทาน
•จำชื่อครู เพื่อน
•เล่นเกมทายของที่หายไป

การวางแผนการเตรียมพื้นฐานทางวิชาการ
•จัดกลุ่มเด็ก
•เริ่มต้นเรียนรู้โดยใช้ช่วงเวลาสั้นๆ
•ให้งานเด็กแต่ละคนอย่างชัดเจนว่าต้องทำที่ไหน
•ติดชื่อเด็กตามที่นั่ง
•ใช้อุปกรณ์ที่เด็กคุ้นเคย
•ใช้อุปกรณ์ที่เด็กคุ้นเคย
•บันทึกว่าเด็กชอบอะไรที่สุด
•รู้ว่าเมื่อไหร่จะเปลี่ยนงาน
•มีอุปกรณ์ไว้สับเปลี่ยนใกล้มือ
•เตรียมทุกอย่างให้พร้อมก่อนเด็กมาถึง
•พูดในทางที่ดี
•จัดกิจกรรมให้เด็กได้เคลื่อนไหว
•ทำบทเรียนให้สนุก

การประยุกต์ใช้
- นำความรู้ที่ได้ไปใช้ในการเรียนการสอนในอนาคต

ประเมินอาจารย์
- อาจารย์น่ารัก ใจดี สอนเข้าใจง่าย อธิบายได้ละเอียด

ประเมินตนเอง
- ได้ความรู้และทักษะกระบวนการเรียนสอนต่างๆ

ประเมินเพื่อน
- เพื่อนๆตั้งใจทำงานและตั้งใจเรียนค่ะ





บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 11
วันศุกร์ ที่ 17 มีนาคม พ.ศ.2560 เวลา 08.30-12.30 น.




เนื้อหา/กิจกรรม

รูปแบบการจัดการศึกษา
•การศึกษาปกติทั่วไป (Regular Education)
•การศึกษาพิเศษ (Special Education)
•การศึกษาแบบเรียนร่วม (Integrated Education หรือ Mainstreaming)
•การศึกษาแบบเรียนรวม (Inclusive Education)

การจัดการศึกษาสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
•เด็กที่มีความต้องการพิเศษทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้ถ้าได้รับโอกาสในการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับความต้องการพิเศษของเขา

ความหมายของการศึกษาแบบเรียนร่วม (Integrated Education หรือ Mainstreaming)
•การจัดให้เด็กพิเศษเข้าไปในระบบการศึกษาทั่วไป
•มีกิจกรรมที่ให้เด็กพิเศษกับเด็กทั่วไปได้ทำร่วมกัน
•ใช้ช่วงเวลาช่วงใดช่วงหนึ่งในแต่ละวัน
•ครูปฐมวัยและครูการศึกษาพิเศษร่วมมือกัน

การเรียนร่วมบางเวลา (Integration)
•การจัดให้เด็กพิเศษเรียนในโรงเรียนปกติในบางเวลา
•เด็กพิเศษได้มีโอกาสแสดงออก และมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับเด็กปกติ
•เป็นเด็กพิเศษที่มีความพิการระดับปานกลางถึงระดับมาก จึงไม่อาจเรียนร่วมเต็มเวลาได้

การเรียนร่วมเต็มเวลา (Mainstreaming)
•การจัดให้เด็กพิเศษเรียนในโรงเรียนปกติตลอดเวลาที่เด็กอยู่ในโรงเรียน
•เด็กพิเศษได้รับการจัดกระบวนการเรียนรู้และบริการนอกห้องเรียนเหมือนเด็กปกติ
•มีเป้าหมายเพื่อให้เด็กเข้าใจซึ่งกันและกัน ตอบสนองความต้องการซึ่งกันและกันและมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน
•เด็กปกติจะยอมรับความหลากหลายของมนุษย์ เข้าใจว่าคนเราเกิดมาไม่จำเป็นต้องเหมือนกันทุกอย่าง ท่ามกลางความแตกต่างกัน มนุษย์เราต้องการความรัก ความสนใจ ความเอาใจใส่เช่นเดียวกันทุกคน

ความหมายของการศึกษาแบบเรียนรวม (Inclusive Education)
•การศึกษาสำหรับทุกคน
•รับเด็กเข้ามาเรียนรวมกันตั้งแต่เริ่มเข้ารับการศึกษา
•จัดให้มีบริการพิเศษตามความต้องการของแต่ละบุคคล
Wilson , 2007
•การจัดการเรียนการสอนที่ยึดปรัชญาของการอยู่รวมกัน (Inclusion) เป็นหลัก
•การสอนที่ดี เป็นการสอนที่ครูกับนักเรียนช่วยกันให้ทุกคนเป็นสมาชิกที่ดีของชุมชน
•กิจกรรมทุกชนิดที่จะนำไปสู่การสอนที่ดี (Good Teaching) ต้องคิดอย่างรอบคอบเพื่อหาหนทางให้นักเรียนทุกคนสามารถเรียนได้
•เป็นการกำหนดทางเลือกหลายๆ ทาง
Inclusive Education is Education for all,
It involves receiving people
at the beginning of their education,
with provision of additional services
needed by each individual"

สรุปความหมายของการศึกษาแบบเรียนรวม
•เป็นการจัดการศึกษาที่จัดให้เด็กพิเศษเข้ามาเรียนรวมกับเด็กปกติ โดยรับเข้ามาเรียนรวมกัน ตั้งแต่เริ่มเข้ารับการศึกษาและจัดให้มีบริการพิเศษตามความต้องการของแต่ละบุคคล
•เด็กพิเศษทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้ถ้าได้รับโอกาสในการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับความต้องการพิเศษของเขา
•เกิดจากปรัชญาการศึกษาที่กล่าวไว้ว่า การศึกษาสำหรับทุกคน
(Education for All)
•การเรียนรวม เป็นแนวคิดทางการศึกษาอย่างหนึ่งที่โรงเรียนจะต้องจัดการศึกษาให้กับเด็กทุกคนโดยไม่มีการแบ่งแยกว่าเด็กคนใดเป็นเด็กปกติ หรือเด็กคนใดเป็นเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
•เด็กเลือกโรงเรียนไม่ใช่โรงเรียนเลือกเด็ก
•เด็กทุกคนที่ผู้ปกครองพาเข้ามาโรงเรียนทางโรงเรียนจะต้องรับเด็กไว้ และจะต้องจัดการศึกษาให้อย่างเหมาะสม และดำเนินการเรียนในลักษณะ “รวมกัน” ที่ทุกคนต่างเป็นส่วนหนึ่ง ของสังคม ทุกคนยอมรับซึ่งกันและกัน
•ทุกคนยอมรับว่ามี ผู้พิการ อยู่ในสังคมและเขาเหล่านั้นต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่จะต้องใช้ชีวิตร่วมกันกับคนปกติ โดยไม่มีการแบ่งแยก
ความสำคัญของการศึกษาแบบเรียนรวม
สำหรับเด็กปฐมวัย
•ปฐมวัยเป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุดของการเรียนรู้
•“สอนได้”
•เป็นการจัดการศึกษาสำหรับเด็กพิเศษที่มีขีดจำกัดน้อยที่สุด
บทบาทครูปฐมวัย
ในห้องเรียนรวม

ครูไม่ควรวินิจฉัย
•การวินิจฉัย หมายถึงการตัดสินใจโดยดูจากอาการหรือสัญญาณบางอย่าง
•จากอาการที่แสดงออกมานั้นอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดได้
ครูไม่ควรตั้งชื่อหรือระบุประเภทเด็ก
•เกิดผลเสียมากกว่าผลดี
•ชื่อเปรียบเสมือนตราประทับตัวเด็กตลอดไป
•เด็กจะกลายเป็นเช่นนั้นจริงๆ

ครูไม่ควรบอกพ่อแม่ว่าเด็กมีบางอย่างผิดปกติ
•พ่อแม่ของเด็กพิเศษ มักทราบดีว่าลูกของเขามีปัญหา
•พ่อแม่ไม่ต้องการให้ครูมาย้ำในสิ่งที่เขารู้อยู่แล้ว
•ครูควรพูดในสิ่งที่เป็นความคาดหวังในด้านบวก แต่ต้องไม่ให้เกิดความหวังผิดๆ
•ครูควรรายงานผู้ปกครองว่าเด็กทำอะไรได้บ้าง เท่ากับเป็นการบอกว่าเด็กทำอะไรไม่ได้
•ครูช่วยให้ผู้ปกครองมีความหวังและเห็นแนวทางที่จะช่วยให้เด็กพัฒนา

ครูทำอะไรบ้าง
•ครูสามารถชี้ให้เห็นถึงพฤติกรรมของเด็กในเรื่องที่เกี่ยวกับพัฒนาการต่างๆ
•ให้ข้อแนะนำในการหาบุคลากรที่เหมาะสมในการประเมินผลหรือวินิจฉัย
•สังเกตเด็กอย่างมีระบบ
•จดบันทึกพฤติกรรมเด็กเป็นช่วงๆ

สังเกตอย่างมีระบบ
•ไม่มีใครสามารถสังเกตอย่างมีระบบได้ดีกว่าครู
•ครูเห็นเด็กในสถานการณ์ต่างๆ ช่วงเวลายาวนานกว่า
•ต่างจากแพทย์ นักจิตวิทยา นักคลินิก มักมุ่งความสนใจอยู่ที่ปัญหา

การตรวจสอบ
•จะทราบว่าเด็กมีพฤติกรรมอย่างไร
•เป็นแนวทางสำคัญที่ทำให้ครูและพ่อแม่เข้าใจเด็กดีขึ้น
•บอกได้ว่าเรื่องใดบ้างที่เด็กต้องการความช่วยเหลือ

การบันทึกการสังเกต
•การนับอย่างง่ายๆ
•การบันทึกต่อเนื่อง
•การบันทึกไม่ต่อเนื่อง

การนับอย่างง่ายๆ
•นับจำนวนครั้งของการเกิดพฤติกรรม
•กี่ครั้งในแต่ละวัน กี่ครั้งในแต่ละชั่วโมง
•ระยะเวลาในการเกิดพฤติกรรมการบันทึกต่อเนื่อง
•ให้รายละเอียดได้มาก
•เขียนทุกอย่างที่เด็กทำในช่วงเวลาหนึ่ง หรือช่วงกิจกรรมหนึ่ง
•โดยไม่ต้องเข้าไปแนะนำช่วยเหลือ

การประยุกต์ใช้
- นำความรู้ที่ได้ประยุกต์ใช้ในการเรียนวิชาอื่นๆ

ประเมินอาจารย์
- อาจารย์น่ารัก ใจดีและเป็นกันเอง อาจารย์คอยให้ความช่วยเหลือและให้คำแนะนำ

ประเมินตนเอง
- ได้ความรู้เกี่ยวกับการจัดรูปแบบทางการศึกษา

ประเมินเพื่อน
- เพื่อนๆตั้งใจเรียนและตั้งใจฟังอาจารย์อธิบายค่ะ





บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 10
วันศุกร์ ที่ 10 มีนาคม พ.ศ.2560 เวลา 08.30-12.30 น.



เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
(Children with Behavioral and Emotional Disorders)
•มีความรู้สึกนึกคิดที่ผิดไปจากปกติ
•แสดงออกถึงความต้องการทำร้ายตนเองหรือผู้อื่น
•มีความเชื่อมั่นในตนเองต่ำ
•เด็กที่มีการควบคุมอารมณ์ให้อยู่ในสภาพปกตินานๆ ไม่ได้
•เด็กที่ควบคุมพฤติกรรมบางอย่างของตนเองไม่ได้
•ทำให้ไม่สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างเรียบร้อย

ลักษณะของเด็กบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
•ความวิตกกังวล (Anxiety) ซึ่งทำให้เด็กมีนิสัยขี้กลัว
•ภาวะซึมเศร้า (Depression) มีความเศร้าในระดับที่สูงเกินไป
•ปัญหาทางสุขภาพ และขาดแรงกระตุ้นหรือความหวังในชีวิต
การจำแนกเด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ ตามกลุ่มอาการ

ด้านความประพฤติ (Conduct Disorders)
•ทำร้ายผู้อื่น ทำลายสิ่งของ ลักทรัพย์
•ฉุนเฉียวง่าย หุนหันพลันแล่น และเกรี้ยวกราด
•กลับกลอก เชื่อถือไม่ได้ ชอบโกหก ชอบโทษผู้อื่น
•เอะอะและหยาบคาย
•หนีเรียน รวมถึงหนีออกจากบ้าน
•ใช้สารเสพติด
•หมกมุ่นในกิจกรรมทางเพศ
ด้านความตั้งใจและสมาธิ (Attention and Concentration)
•จดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งในระยะสั้น (Short attention span) อาจไม่เกิน 20 วินาที
•ถูกสิ่งต่างๆ รอบตัวดึงความสนใจได้ตลอดเวลา
•งัวเงีย ไม่แสดงความสนใจใดๆ รวมถึงมีท่าทางเหมือนไม่ฟังสิ่งที่ผู้อื่นพูด

สมาธิสั้น (Attention Deficit)
•มีลักษณะกระวนกระวาย ไม่สามารถนั่งนิ่งๆ ได้ หยุกหยิกไปมา
•พูดคุยตลอดเวลา มักรบกวนหรือเรียกร้องความสนใจจากผู้อื่น
•มีทักษะการจัดการในระดับต่ำ

การถอนตัวหรือล้มเลิก (Withdrawal)
•หลีกเลี่ยงการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น และมักรู้สึกว่าตนเองด้อยกว่าผู้อื่น
•เฉื่อยชา และมีลักษณะคล้ายเหนื่อยตลอดเวลา
•ขาดความมั่นใจ ขี้อาย ขี้กลัว ไม่ค่อยแสดงความรู้สึก

ความผิดปกติในการทำงานของร่างกาย(Function Disorder)
•ความผิดปกติเกี่ยวกับพฤติกรรมการกิน (Eating Disorder)
•การอาเจียนโดยสมัครใจ (Voluntary Regurgitation)
•การปฏิเสธที่จะรับประทาน
•รับประทานสิ่งที่รับประทานไม่ได้
•โรคอ้วน (Obesity)
•ความผิดปกติของการขับถ่ายทั้งอุจจาระและปัสสาวะ (Elimination Disorder)

ภาวะความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ระดับรุนแรง
•ขาดเหตุผลในการคิด
•อาการหลงผิด (Delusion)
•อาการประสาทหลอน (Hallucination)
•พฤติกรรมการทำร้ายตัวเอง

สาเหตุ
•ปัจจัยทางชีวภาพ (Biology)
•ปัจจัยทางจิตสังคม (Psychosocial)

ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อเด็ก
•ไม่สามารถเรียนหนังสือได้เช่นเด็กปกติ
•รักษาความสัมพันธ์กับเพื่อนหรือกับครูไม่ได้
•มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เมื่อเทียบกับเด็กในวัยเดียวกัน
•มีความคับข้องใจ มีความเก็บกดอารมณ์
•แสดงอาการทางร่างกาย เช่น ปวดศีรษะ ปวดตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
•มีความหวาดกลัว

เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรม ซึ่งจัดว่ามีความรุนแรงมาก
•เด็กสมาธิสั้น (Children with Attention Deficit and Hyperactivity Disorders)
•เด็กออทิสติก (Autistic) หรือ ออทิสซึ่ม (Autisum)

เด็กสมาธิสั้น (Children with Attention Deficit Hyperactivity Disorders)
ADHD เป็นภาวะผิดปกติทางจิตเวช
มีลักษณะเด่นอยู่ 3 ประการ คือ
•Inattentiveness
•Hyperactivity
•Impulsiveness

Inattentiveness (สมาธิสั้น)
•ทำอะไรได้ไม่นาน วอกแวก ไม่มีสมาธิ
•ไม่สามารถจดจ่อกับงานที่กำลังทำได้นานเพียงพอ
•มักใจลอยหรือเหม่อลอยง่าย
•เด็กเล็กๆจะเล่นอะไรได้ไม่นาน เปลี่ยนของเล่นไปเรื่อยๆ
•เด็กโตมักทำงานไม่เสร็จตามที่สั่ง ทำงานตกหล่น ไม่ครบ ไม่ละเอียด

Hyperactivity (ซนอยู่ไม่นิ่ง)
•ซุกซนไม่ยอมอยู่นิ่ง ซนมาก
•เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา
•เหลียวซ้ายแลขวา
•ยุกยิก แกะโน่นเกานี่
•อยู่ไม่สุข ปีนป่าย
•นั่งไม่ติดที่
•ชอบคุยส่งเสียงดังรบกวนคนรอบข้าง

Impulsiveness (หุนหันพลันแล่น)
•ยับยั้งตัวเองไม่ค่อยได้ มักทำอะไรโดยไม่ยั้งคิด วู่วาม
•ขาดความยับยั้งชั่งใจ
•ไม่อดทนต่อการรอคอย หรือกฎระเบียบ
•ไม่อยู่ในกติกา
•ทำอะไรค่อนข้างรุนแรง
•พูดโพล่ง ทะลุกลางปล้อง
•ไม่รอคอยให้คนอื่นพูดจบก่อน ชอบมาสอดแทรกเวลาคนอื่นคุยกัน

Impulsiveness (หุนหันพลันแล่น)
•ยับยั้งตัวเองไม่ค่อยได้ มักทำอะไรโดยไม่ยั้งคิด วู่วาม
•ขาดความยับยั้งชั่งใจ
•ไม่อดทนต่อการรอคอย หรือกฎระเบียบ
•ไม่อยู่ในกติกา
•ทำอะไรค่อนข้างรุนแรง
•พูดโพล่ง ทะลุกลางปล้อง
•ไม่รอคอยให้คนอื่นพูดจบก่อน ชอบมาสอดแทรกเวลาคนอื่นคุยกัน

สาเหตุ
•ความผิดปกติของสารเคมีบางชนิดในสมอง
เช่น โดปามีน (dopamine) นอร์อิพิเนฟริน (norepinephrine)
•ความผิดปกติในการทำงานของวงจรที่ควบคุมสมาธิ และการตื่นตัว อยู่ที่สมองส่วนหน้า (frontal cortex)
•พันธุกรรม
•สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ
ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสมาธิสั้น
•สมาธิสั้น ไม่ได้เกิดจากความผิดของพ่อแม่ที่เลี้ยงดูลูกผิดวิธี ตามใจมากเกินไป หรือปล่อยปละละเลยจนเกินไป และไม่ใช่ความผิดของเด็กที่ไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ แต่ปัญหาอยู่ที่การทำงานของสมองที่ควบคุมเรื่องสมาธิของเด็ก
อยู่ไม่สุข (Hyperactivity )
สมาธิสั้น (Attention Deficit )




การประยุกต์ใช้
- นำความรู้ที่ได้ไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์

ประเมินอาจารย์
- อาจารย์น่ารัก ใจดีและเป็นกันเอง อาจารย์คอยให้คำแนะอยู่เสมอ

ประเมินตนเอง
- ได้ความรู้เกี่ยวกับโรคสมาธิสั้นมากขึ้น

ประเมินเพื่อน
- เพื่อนๆตั้งใจเรียนและตั้งใจฟังอาจารย์สอน



บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 9
วันศุกร์ ที่ 3 มีนาคม พ.ศ.2560 เวลา 08.30-12.30 น.




เด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ (Children with Learning Disabilities)
เรียกย่อ ๆ ว่า L.D. (Learning Disability)
เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้เฉพาะอย่าง
ไม่นับรวมเด็กที่มีปัญหาเพียงเล็กน้อยทางการเรียน เด็กที่มีปัญหาเนื่องจากความพิการ หรือความบกพร่องทางร่างกาย

สาเหตุของ LD
ความผิดปกติของการทำงานของสมองที่ไม่สามารถถอดรหัสตัวอักษรออกมาได้ (เชื่อมโยงภาพ ตัวอักษรเข้ากับเสียงไม่ได้)
กรรมพันธุ์

1. ด้านการอ่าน  (Reading Disorder)
หนังสือช้า ต้องสะกดทีละคำ
อ่านออกเสียงไม่ชัด ออกเสียงผิด หรืออาจข้ามคำที่อ่านไม่ได้ไปเลย
ไม่เข้าใจเนื้อหาที่อ่าน หรือจับใจความสำคัญไม่ได้
ลักษณะของเด็ก LD ด้านการอ่าน
อ่านช้า อ่านคำต่อคำ ต้องสะกดคำจึงจะอ่านได้
อ่านออกเสียงไม่ชัดเจน
เดาคำเวลาอ่าน
อ่านข้าม อ่านเพิ่มคำ อ่านผิดประโยคหรือผิดตำแหน่ง
อ่านโดยไม่เน้นคำ หรือเน้นข้อความบางตอน
ผันเสียงวรรณยุกต์ไม่ได้
ไม่รู้ความหมายของเรื่องที่อ่าน
เล่าเรื่องที่อ่านไม่ได้ จับใจความสำคัญไม่ได้
2. ด้านการเขียน  (Writing Disorder)
เขียนตัวหนังสือผิด สับสนเรื่องการม้วนหัวอักษร เช่น จาก ม เป็น น หรือจาก ภ เป็น ถ เป็นต้น
เขียนตามการออกเสียง เช่น ประเภท เขียนเป็น ประเพด
เขียนสลับ เช่น สถิติ เขียนเป็น สติถิ
ลักษณะของเด็ก LD ด้านการเขียน
ลากเส้นวนๆ ไม่รู้ว่าจะม้วนหัวเข้าในหรือออกนอก ขีดวนๆ ซ้ำๆ
เรียงลำดับอักษรผิด เช่น สถิติ เป็น สติถิ
เขียนพยัญชนะหรือตัวเลขสลับกัน
เช่น ม-น, ภ-ถ, ด-ค, พ-ผ, b-d, p-q, 6-9
เขียนพยัญชนะ ก-ฮ ไม่ได้ แต่บอกให้เขียนเป็นตัวๆได้
เขียนพยัญชนะ หรือ ตัวเลขกลับด้าน คล้ายมองจากกระจกเงา
เขียนคำตามตัวสะกด เช่น เกษตร เป็น กะเสด




3. ด้านการคิดคำนวณ  (Mathematic Disorder)

ตัวเลขผิดลำดับ
ไม่เข้าใจเรื่องการทดเลขหรือการยืมเลขเวลาทำการบวกหรือลบ
ไม่เข้าหลักเลขหน่วย สิบ ร้อย
แก้โจทย์ปัญหาเลขไม่ได้
ลักษณะของเด็ก LD ด้านการคำนวณ
ไม่เข้าใจค่าของตัวเลขเช่นหลักหน่วยสิบร้อยพันหมื่นเป็นเท่าใด
นับเลขไปข้างหน้าหรือถอยหลังไม่ได้
คำนวณบวกลบคูณหารโดยการนับนิ้ว
จำสูตรคูณไม่ได้
เขียนเลขกลับกันเช่น13เป็น31
ทดไม่เป็นหรือยืมไม่เป็น
ตีโจทย์เลขไม่ออก
คำนวณเลขจากซ้ายไปขวาแทนที่จะทำจากขวาไปซ้าย
ไม่เข้าใจเรื่องเวลา

4. หลายๆ ด้านร่วมกัน
อาการที่มักเกิดร่วมกับ LD
แยกแยะขนาดสีและรูปร่างไม่ออก
มีปัญหาความเข้าใจเกี่ยวกับเวลา
เขียน/อ่านตัวอักษรสลับซ้าย-ขวา
งุ่มง่ามการประสานงานของกล้ามเนื้อไม่ดี
การประสานงานของสายตา-กล้ามเนื้อไม่ดี
สมาธิไม่ดี (เด็ก LD ร้อยละ 15-20 มีสมาธิสั้น ADHD ร่วมด้วย)
เขียนตามแบบไม่ค่อยได้
ทำงานช้า


 ออทิสติก (Autistic)


หรือ ออทิซึ่ม (Autism)เด็กที่ไม่สามารถมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
ไม่สามารถเข้าใจคำพูด ความรู้สึกและความต้องการของผู้อื่น
ไม่สามารถที่จะสื่อสารกับคนรอบข้างและสังคม
เด็กออทิสติกแต่ละคนจะมีเอกลักษณ์ของตนเอง
ติดตัวเด็กไปตลอดชีวิต


"ไม่สบตา ไม่พาที ไม่ชี้นิ้ว"
ออทิสติกเทียม
ปล่อยให้เป็นพี่เลี้ยงดูแลหรืออยู่กับผู้สูงอายุ
ปล่อยให้ลูกอยู่กับไอแพด
ดูการ์ตูนในทีวี
Autistic Savant
กลุ่มที่คิดด้วยภาพ (visual thinker)
จะใช้การการคิดแบบอุปนัย (bottom up thinking)
กลุ่มที่คิดโดยไม่ใช้ภาพ (music, math and memory thinker)
จะใช้การคิดแบบนิรนัย (top down thinking)

การประยุกต์ใช้
- นำความรู้ที่ได้ไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์

ประเมินอาจารย์
- อาจารย์น่ารัก ใจดี คอยแนะนำและบอกวิธีการในการทำงานและคอยช่วยเหลืออยู่เสมอ

ประเมินตนเอง
- ได้ความรู้เกี่ยวกับเด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้

ประเมินเพื่อน
- เพื่อนๆตั้งใจฟังอาจารย์และตั้งใจเรียนค่ะ







บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 8
วันศุกร์ ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2560 เวลา 08.30-12.30 น.



สอบกลางภาคค่ะ


บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 7
วันศุกร์ ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2560 เวลา 08.30-12.30 น.




ไปศึกษาดูงานที่โรงเรียนเกษมพิทยา

เด็กเข้าแถวเคารพธงชาติ พร้อมกับมีตัวแทนแนะนำตัว มีพี่ๆนักศึกษาพาเด็กๆออกกำลังกาย






การเรียนการสอนเป็นการสอนภาษาธรรมชาติ การสอนจะมีอยู่ 2 วิธีคือ Unit กับ Project Approach เป็นการเรียนร่วมเต็มเวลา ไม่แยกเด็กออกจากัน

กิจกรรมกลางแจ้ง เครื่องเล่นจะต้องมี มุด ลอด ปีน ไต่

ห้องที่ได้ไปศึกษา คือ ห้อง อ.1/1
น้องเด็กพิเศษที่ดูคือน้องเพรสกับน้องภูรีส

น้องภูรีส
อายุ 7 ปี มีอาการคือ โรคพราเดอร์ วิลลี่ ซินโดรม โดยมีอาการกล้ามเนื้อปวกเปียก

น้องเพรส
มีอาการกล้ามเนื้อเกรงบ้าง จะร้องเสียงดังเมื่อไม่พอใจ





การบันทึกครั้งที่ 6
วันศุกร์ ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2560  เวลา 08.30-12.30 น.


ไม่มีการเรียนการสอนเนื่องจากไปเข้าร่วมกิจกรรมประกวดมารยาทไทย
                                            

บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 5
วันศุกร์ ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2560 เวลา 08.30-12.30 น.



ไม่มีการเรียนการสอนค่ะเนื่องจากอาจารย์ไปราชการ



การบันทึกครั้งที่ 4
วันศุกร์ ที่ 24 มกราคม พ.ศ.2560 เวลา 08.30-12.30 น.



กิจกรรม/เนื้อหา
ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ

 (Children with Speech and Language Disorders)


เด็กที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา 
เด็กที่มีความบกพร่องทางการพูด
 หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่องซึ่งเกิดจากการพูดผิดปกติ ในด้านความชัดเจนในการปรับปรุงแต่งระดับและคุณภาพของเสียง จังหวะและขั้นตอนของเสียงพูด
        
ความบกพร่องในด้านการปรุงเสียง (Articulator Disorders)
•เสียงบางส่วนของคำขาดหายไป "ความ" เป็น "คาม"
•ออกเสียงของตัวอื่นแทนตัวที่ถูกต้อง "กิน" "จิน"  กวาด ฟาด
•เพิ่มเสียงที่ไม่ใช่เสียงที่ถูกต้องลงไปด้วย "หกล้ม" เป็น "หก-กะ-ล้ม"
•เสียงเพี้ยนหรือแปล่ง "แล้ว" เป็น "แล่ว"

ความบกพร่องของจังหวะและขั้นตอนของเสียงพูด (speech Flow Disorders)
•พูดไม่ถูกตามลำดับขั้นตอน ไม่เป็นไปตามโครงสร้างของภาษา
•การเว้นวรรคตอนไม่ถูกต้อง
•อัตราการพูดเร็วหรือช้าเกินไป
•จังหวะของเสียงพูดผิดปกติ
•เสียงพูดขาดความต่อเนื่อง สละสลวย

ความบกพร่องของเสียงพูด (Voice Disorders)
•ความบกพร่องของระดับเสียง
•เสียงดังหรือค่อยเกินไป
•คุณภาพของเสียงไม่ดี

ความบกพร่องทางภาษา   หมายถึง การขาดความสามารถที่จะเข้าใจความหมาย
ของคำพูด และ/หรือไม่สามารถแสดงความคิดออกมาเป็นถ้อยคำได้
 การพัฒนาการทางภาษาช้ากว่าวัย 
(Delayed Language
•มีความยากลำบากในการใช้ภาษา
•มีความผิดปกติของไวยากรณ์และโครงสร้างของประโยค
•ไม่สามารถสร้างประโยคได้
•มีความบกพร่องทางเชาว์ปัญญา อารมณ์ สมองผิดปกติ
•ภาษาที่ใช้เป็นภาษาห้วน ๆ

ความผิดปกติทางการพูดและภาษาอันเนื่องมาจากพยาธิสภาพที่สมอง โดยทั่วไปเรียกว่า
Dysphasia หรือ aphasia
 อ่านไม่ออก (alexia)
•เขียนไม่ได้ (agraphia )
•สะกดคำไม่ได้
•ใช้ภาษาสับสนยุ่งเหยิง
•จำคำหรือประโยคไม่ได้
•ไม่เข้าใจคำสั่ง
•พูดตามหรือบอกชื่อสิ่งของไม่ได้

เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ (Children with Physical and Health Impairments)
•เด็กที่มีอวัยวะไม่สมส่วน
•อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งหายไป
•เจ็บป่วยเรื้อรังรุนแรง
•มีปัญหาทางระบบประสาท
•มีความลำบากในการเคลื่อนไหว

โรคลมชัก (Epilepsy)





•เป็นลักษณะอาการที่เกิดเนื่องมาจากความผิดปกติของระบบสมอง
•มีกระแสไฟฟ้าที่ผิดปกติและมากเกินปล่อยออกมาจากเซลล์สมองพร้อมกัน

การชักในช่วงเวลาสั้น ๆ (Petit Mal)
•อาการเหม่อนิ่งเป็นเวลา 5-10วินาที
•มีการกระพริบตาหรืออาจมีเคี้ยวปาก
•เมื่อเกิดอาการชักเด็กจะหยุดชะงักในท่าก่อนชัก
•เด็กจะนั่งเฉย หรือเด็กอาจจะตัวสั่นเล็กน้อย

การชักแบบรุนแรง (Grand Mal)
•เมื่อเกิดอาการชัก เด็กจะส่งเสียง หมดความรู้สึก ล้มลง กล้ามเนื้อเกร็ง เกิดขึ้นราว 2-5 นาที จากนั้นจะหาย และนอนหลับไปชั่วครู

อาการชักแบบ Partial Complex
•มีอาการประมาณไม่เกิน 3 นาที
•เหม่อนิ่ง 
•เหมือนรู้สึกตัวแต่ไม่รับรู้และไม่ตอบสนองต่อคำพูด
•หลังชักอาจจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ และต้องการนอนพัก

อาการไม่รู้สึกตัว (Focal Partial)

•เป็นอาการที่เกิดขึ้นในระยะสั้น เด็กไม่รู้สึกตัว อาจทำอะไรบางอย่างโดยที่ตัวเองไม่รู้ เช่น ร้องเพลง ดึงเสื้อผ้า เดินเหม่อลอย แต่ไม่มีอาการชัก
การปฐมพยาบาลขั้นพื้นฐาน ในกรณีเด็กมีอาการชัก
•จับเด็กนอนตะแคงขวาบนพื้นราบที่ไม่มีของแข็ง
•ไม่จับยึดตัวเด็กขณะชัก
•หาหมอนหรือสิ่งนุ่มๆรองศีรษะ
•ดูดน้ำลาย เสมหะ เศษอาหารออกจากปาก เพื่อให้ทางเดินหายใจโล่ง
•จัดเสื้อผ้าเด็กให้หลวม
•ห้ามนำวัตถุใดๆใส่ในปาก
•ทำการช่วยหายใจโดยวิธีการเป่าปากหากเด็กหยุดหายใจ

ซี.พี. (Cerebral Palsy) 




การเป็นอัมพาตเนื่องจากระบบประสาทสมองพิการ หรือเป็นผลมาจากสมองที่กำลังพัฒนาถูกทำลายก่อนคลอด ระหว่างคลอด หรือหลังคลอด การเคลื่อนไหว การพูด พัฒนาการล่าช้า เด็กซีพี มีความบกพร่องที่เกิดจากส่วนต่าง ๆ ของสมองแตกต่างกัน
 
1.กลุ่มแข็งเกร็ง (spastic)
spastic hemiplegia อัมพาตครึ่งซีก
spastic diplegia อัมพาตครึ่งท่อนบน
spastic paraplegiaอัมพาตครึ่งท่อนบน
spastic quadriplegia อัมพาตทั้งตัว


2.กลุ่มที่มีการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นเอง
(athetoid , ataxia)
athetoid อาการขยุกขยิกช้า ๆ หรือเคลื่อนไหวเร็วๆที่เท้า แขน มือ หรือที่ใบหน้าของ เด็กบางรายอาจมีคอเอียง ปากเบี้ยวร่วมด้วย
ataxia มีความผิดปกติในการทรงตัวของร่างกาย กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน

3. กลุ่มอาการแบบผสม (Mixed)


การประยุกต์ใช้
- นำไปปรับใช้ในการเรียนการสอนในอนาคต

ประเมินอาจารย์
- อาจารย์น่ารัก ใจดี และให้คำแนะนำอยู่เสมอ

ประเมินตนเอง
- ได้ความรู้เกี่ยวกับเด็กที่มี่ความบกพร่องในด้านต่างๆ

ประเมินเพื่อน
- เพื่อนๆตั้งใจเรียนและตั้งใจทำกิจกรรมค่ะ




บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 18  วันศุกร์ ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2560 เวลา 08.30-12.30 น. สอบปลายภาคค่ะ